กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร? รู้ทันก่อนเริ่มบังคับใช้ปี 2569
หลายคนคงสงสัยว่า“ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” คืออะไร และมีที่มาอย่างไร
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในส่วนที่สำคัญที่นายจ้างและลูกจ้างต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อมก่อนกฎหมายเริ่มมีผลบังคับใช้จริง
ที่มาของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 126 ได้กำหนดให้จัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและว่างงาน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่มีลูกจ้างจำนวนมากถูกเลิกจ้างและไม่มีเงินสำรองเพียงพอในการดำรงชีพ โดยมีผลบังคับใช้ดังนี้
- ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ประกาศให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนฯ โดยกำหนดให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป
- ต่อมาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 มติคณะรัฐมนตรีได้เลื่อนระยะเวลาการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างออกไป เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2569
อัตราเงินสะสมและเงินสมทบ
กฎกระทรวงได้กำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสบทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 โดยกำหนดอัตราเงินสะสมของลูกจ้าง และเงินสมทบของนายจ้าง ดังนี้
- ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2573 ในอัตรา ฝ่ายละ 0.25 ของค่าจ้างรวม
- ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2573 ในอัตรา ฝ่ายละ 0.50 ของค่าจ้างรวม
โดยค่าจ้างรวม คำนวณจาก ค่าล่วงเวลา (OT), ค่าตำแหน่ง, เบี้ยขยัน, ค่าเดินทาง, ค่าอาหาร และค่ากะ ไม่รวมโบนัส หรือค่าตอบแทนที่ไม่แน่นอน
ทั้งนี้ การกำหนดอัตราดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างหลักประกันให้กับลูกจ้างในการได้รับสวัสดิการที่มั่นคงและเหมาะสม โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะมีมาตรการกำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายและสร้างความเข้าใจแก่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับข้อกำหนดดังกล่าว เพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างถูกต้องและ เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
หลักเกณฑ์การเป็นสมาชิกกองทุน
| กิจการที่ต้องเข้าร่วมกองทุน (บังคับ) | กิจการที่ไม่บังคับแต่สามารถเข้าร่วมได้ (สมัครใจ) |
| มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และไม่มีการจัดการสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายอื่น เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนสงเคราะห์ภายในบริษัท ดำเนินการยื่นแบบ สกล.3 เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง หักค่าจ้างของลูกจ้างตามจำนวนที่จะต้องนำส่งตามแบบ สกล.3 นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป | มีลูกจ้างน้อยกว่า 10 คน หรือไม่อยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ. เช่น งานเกษตร งานรับใช้ในบ้าน หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร กิจการ/งานประมง มูลนิธิ สมาคม เป็นต้น นายจ้างที่จัดให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กรณีลูกจ้างไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นายจ้างมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้ลูกจ้างเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง) หากลูกจ้างและนายจ้างตกลงกัน ก็สามารถยื่นแบบ สกล.3/1 เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนได้ หักค่าจ้างของลูกจ้างตามจำนวนที่จะต้องนำส่งตามแบบ สกล.3 นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป |
ประโยชน์และบทกำหนดโทษ
| ประโยชน์ต่อลูกจ้าง | ประโยชน์ต่อนายจ้าง | บทกำหนดโทษ |
| ยกระดับมาตรฐานคุ้มครองลูกจ้าง | แสดงถึงภาพลักษณ์ที่ดีของนายจ้าง | นายจ้างที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการ หรือไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงตามที่กฎหมายกำหนด หรือแจ้งข้อมูลเท็จ โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากไม่นำส่งหรือส่งไม่ครบถ้วน ต้องชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน โดยพนักงานตรวจแรงงานจะมีหนังสือแจ้งเตือนให้นำส่งเงินที่ค้างชำระภายใน 30 วัน |
| ส่งเสริมการออมเงินให้กับลูกจ้าง | สร้างความสัมพันธ์อันดีภายในองค์กร | |
| เสริมสร้างขวัญกำลังใจในการทำงานให้กับลูกจ้าง | สร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานกับนายจ้างในระยะยาว | |
| บรรเทาความเดือนร้อนให้กับลูกจ้างและเป็นการเพิ่มหลักประกันทางสังคม |
การขอรับเงินคืนจากกองทุน
กรณีลูกจ้างออกจากงานทุกกรณี
- ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินสะสมและเงินสมทบที่นายจ้างนำส่งเข้ากองทุน
- นายจ้างต้องออกหนังสือรับรองการสิ้นสภาพการจ้าง และคืนเงินให้ลูกจ้างภายใน 30 วันนับแต่วันสิ้นสภาพการจ้าง
- การจ่ายจะจ่ายเป็นเงินก้อนครั้งเดียว โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารของลูกจ้าง
กรณีลูกจ้างเสียชีวิต
- เงินสะสมและเงินสมทบทั้งหมดจะตกเป็นของบุคคลที่ลูกจ้างระบุไว้ในแบบ สกล.5
- หากไม่ระบุ จะตกแก่บุตร คู่สมรส บิดา มารดา ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน
- หากไม่มีผู้รับเงิน เงินจะตกเป็นของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
จากบทความข้างต้นจะเห็นได้ว่า เงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยรวมแล้วจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการช่วยเหลือลูกจ้างที่อาจได้รับความเดือดร้อนทางการเงิน เช่น กรณีออกจากงาน หรือเสียชีวิต ซึ่งเป็นการเพิ่มหลักประกันทางสังคมและความมั่นคงให้กับลูกจ้าง ส่งเสริมวินัยการออม มีเงินสำรอง หรือเงินฉุกเฉินไว้ใช้เมื่อออกจากงาน อันจะช่วยบรรเทาความเดือนร้อนให้กับลูกจ้างได้อย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตาม กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีการเลื่อนบังคับใช้ออกไปวันที่ 1 ตุลาคม 2569 ทำให้นิติบุคคลต่างๆ มีเวลาเตรียมความพร้อมในการศึกษาข้อมูลและแนวปฏิบัติให้ครบถ้วน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อถึงกำหนดบังคับใช้จริง
คุณวัลลี หมู่ประสิทธิ์
บริษัท สอบบัญชีธรรมนิติ จำกัด
อ้างอิง
1.พระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ.2567
2.กฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ.2567
3.กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ.2567
4.ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างว่าด้วยการนำส่งเงินสะสม เงินสมทบ และเงินเพิ่มเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ.2567
5.ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างว่าด้วยการให้ลูกจ้างในกิจการที่มิได้อยู่ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 สมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ.2567
6.ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง แบบหนังสือกำหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ.2567 กรณีลูกจ้างตาย
7.ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินเงินสะสมและสมทบที่นายจ้างต้องนำส่งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ.2567

